พื้นฐานของเทคโนโลยีแต่ละท้องถิ่นหรือประเทศ สร้างและพัฒนาขึ้นด้วยความรู้และทักษะของตนเพื่อการดำรงชีวิตซึ่งมีทั้ง สร้างสรรค์และขัดแย้ง ดังนั้น การเลือกใช้เทคโนโลยีจึงต้องคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการ ความปลอดภัย ความเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประเมินอย่างมีวิจารญาณโดยใช้เกณฑ์ทางสังคมมาประกอบด้วย
การบริโภคผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร การผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีของท้องถิ่นไม่อาจตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอ จำเป็นต้องแสวงหาจากแหล่งอื่นหรือต่างประเทศเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีแห่งหนึ่งอาจไม่เหมาะสมกับอีกแห่งก็ได้ จึงต้องเลือกใช้อย่างระมัดระวัง
เทคโนโลยีมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ทำให้มนุษย์สามารถสร้างเด็กในหลอดแก้ว หรือการโคลนนิ่ง (Cloning) ซึ่งส่งผลกระทบต่อศีลธรรมและสังคมของมนุษย์ เป็นต้น
ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นและประเมินเทคโนโลยีอย่างมีวิจารณฐาณ โดยใช้เกณฑ์ทางสังคมมาประกอบด้วย
นอกจากนี้ การสร้างเทคโนโลยียังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้ด้วย โดยนำมาเป็นเกณฑ์ในการออกแบบสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆและ การสร้างชิ้นงานก็ต้องอาศัยทักษะพื้นฐานต่าง ๆ เช่น งานไม้ งานโลหะ กาตัด ซึ่งต้องกระทำอย่างระมัดระวัง
ความสามารถในการประเมินผลเทคโนโลยีจะช่วยให้ทราบข้อบกพร่อง และปรับปรุงพัฒนาเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดในการใช้ เช่น ไม่เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เป็นต้น
ลักษณะเทคโนโลยีในการผลิตเป็นชุดหรือต่อเนื่อง มีผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การบำรุงรักษาโรงงาน คุณภาพและชนิดของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งอัตราการใช้ทรัพยากรที่จำเป็นและมีขีดจำกัดสูง เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง การเพิ่มหรือลดอัตราการผลิต คุณภาพผลิตภัณฑ์ สามารถใช้วัตถุดิบและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ต้องคำนึงถึงเทคโนโลยีว่ามีโอกาสทำให้เกิดมลภาวะต่อสภาพแวดล้อมมาก น้อยเพียงใด ซึ่งจะมีผลต่อคนงานและสาธารณะชนที่อาศัยโดยรอบโรงงาน อิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่ดีมีผลต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุน การบำรุงรักษาโรงงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุของโรงงาน ค่าใช้จ่ายในการจัดทำทะเบียนต่าง ๆ
การพิจารณาเลือกเทคโนโลยีควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ให้ถ่องแท้ ไม่ควรละลายค่าใช้จ่ายในการทำทะเบียนต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ประเมินประสิทธิภาพการผลิต การใช้วัตถุดิบและพลังงานของโรงงาน รวมทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้วย ข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้กิจการล้มเหลวได้
ดังข้อเสนอของเปรื่อง กิจรัตนี ต่อไปนี้:
การตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีใด ๆ ผู้ใช้ต้องศึกษาผลดีและผลเสียของเทคโนโลยีนั้น ๆ และพิจารณาว่า ผลเสียที่จะเกิดขึ้นสามารถควบคุมหรือป้องกันได้ หากประโยชน์ของเทคโนโลยีนั้นคุ้มค่าและมากกว่าผลเสีย จึงตัดสินใจนำมาใช้ประโยชน์ได้
นอกจากคำนึงถึงผลกระทบของเทคโนโลยีแล้ว การเลือกใช้ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสังคม ดังต่อไปนี้
เทคโนโลยีเป็นแนวคิดการสร้างหรือวิธีการจัดการจัดหาสิ่งของที่มนุษย์ต้องการใช้ในการดำรงชีวิตเกิดขึ้นพร้อมกับมนุษย เริ่มตั้งแต่อย่างง่ายแล้วพัฒนาปรับปรุง และวิวัฒนาการจนก้าวหน้าตามความรู้ของแต่ละชุมชน และถูกถ่ายทอดจากชนรุ่งหนึ่งไปสู่ชนอีกรุ่นหนึ่ง หรือ จากชุมชนหนึ่งไปยังอีกชุมชนหนึ่ง ทำให้ความรู้เหล่านี้กระจายไป และเกิดการคิดค้นวิธีการใหม่ ๆ เพื่อสนองต่อความต้องการมนุษย์กว้างขวางยิ่งขึ้น ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า "การถ่ายทอดเทคโนโลยี" หรือ การได้มาซึ่งความรู้ทางด้านเทคโนโลยี (Technology Know-How) สำหรับการผลิตสินค้าและบริการด้วย
การถ่ายทอดเทคโนโลยี อาจแบ่งได้ 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 เป็นการโยกย้ายทางภูมิศาสตร์ของเทคโนโลยี เช่น การเคลื่อนย้ายโรงงานและเครื่องจักรจากภูมิศาสตร์หนึ่งไปยังอีกภูมิศาสตร์หนึ่ง ความหมายเช่นนี้ ผู้ขายเทคโนโลยีและนักวิชาการในประเทศพัฒนาแล้วนิยมใช้กันมาก ต่อมาเห็นว่า ความหมายนี้ไม่ยังครอบคลุม และควรเรียกการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับนี้ว่า "การนำเข้าเทคโนโลยี"
ระดับที่ 2 การถ่ายทอดเทคโนโลยีเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อผู้รับสามารถดำเนินการผลิตบำรุงรักษาแกละเปลี่ยนแผนการผลิต โดยมิต้องอาศัยผู้ให้อีกต่อไป
ระดับที่ 3 เป็นระยะที่เทคโนโลยีซึ่งได้รับจากระดับที่ 2 ส่งผ่านหรือกระจาย (diffuse) ความรู้ดังกล่าวภายในสังคม อาจเป็นการกระจายโดยไม่เจตนาของผู้รับและผู้ให้ก็ได้
ระดับที่ 4 การถ่ายทอดในระยะนี้จะสมบูรณ์ เมื่อผู้รับเทคโนโลยีทั้งโดยตรงและทางอ้อม สามารถสร้างเทคโนโลยีชนิดหนึ่งขึ้นได้ใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมทั้งสามารถดัดแปลง แก้ไขเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การถ่ายทอดเทคโนโลยีทั่วไป หมายถึง การเคลื่อนย้ายวิทยาการหรือความรู้ความสามารถจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง อีกนัยหนึ่ง คือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างประเทศ (Technology Transfer) ในระยะหลังให้ความสำคัญการถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในประเทศ และภายในองค์การด้วย
ผู้ซื้อมีความเขื่อว่า จะได้รับประโยชน์และบรรลุวัตถุประสงค์ โดยการนำเข้าเทคโนโลยี จากต่างประเทศ แต่เทคโนโลยีนั้นต้องสอดคล้องกับนโยบายหรือวัตถุประสงค์ของรัฐและเอกชน โดยเอกชนต้องให้ความสำคัญเรื่องดังกล่าวมากกว่าราคาของเทคโนโลยี
เนื่องจากค่านิยมที่เขื่อว่าสินค้าจากต่างประเทศดีกว่าสินค้าภายในประเทศ ทำให้การผลิตภายในประเทศต้องตอบสนองความต้องการของตลาด และการเลียนแบบของผู้บริโภค การดำรงชีวิตจึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้รับมีความรู้ไม่เพียงพอที่จะรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้น เป็นเหตุให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศต่อไป
เพื่อให้การลงทุนการผลิตมีมูลค่าต่ำลง ทำให้ผู้ซื้อเทคโนโลยีบางรายเชื่อว่า เทคโนโลยีบรรษัทข้ามชาติมีราคาต่ำกว่า และหากคำนึงถึงระดับการพัฒนาเทคโนโลยีด้วย ทำให้ผู้ซื้อยินดีรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศมากกว่าในประเทศ
นอกจาก เงื่อนไขดังกล่าว การถ่ายทอดเทคโนโลยีอาจเกิดจากการเป็นบริษัทร่วมทุน ซึ่งผู้ร่วมทุนในประเทศถูกบังคับกรนำเข้าเทคโนโลยีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การถ่ายทอดเทคโนโลยีเป็นการตกลงทางการค้าระหว่างผู้จัดส่งและผู้รับ ซึ่งการได้มาซึ่งเทคโนโลยี มี 5 แนวทางด้วยกัน ดังนี้
การถ่ายทอดเทคโนโลยีลักษณะนี้ เกี่ยวกับความรู้เรื่องการประดิษฐ์ หรือวิธีการผลิต ผลิตภัณฑ์เป็นรูปแบบของการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างไม่เป็นทางการ มักเป็นเทคโนโลยีแบบง่าย ๆ และไม่ซับซ้อน แหล่งข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่ หนังสือ วีดิทัศน์ รายการโทรทัศน์ การกระจายเทคโนโลยีแบบนี้อาจนำไปใช้ได้ แต่ไม่ตรงกับความมุ่งหมาย
ผลิตภัณฑ์บางชนิดจำเป็นต้องมีคู่มือประกอบการใช้ เช่น เครื่องตัดหญ้า คอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตจะให้คู่มือการใช้พร้อมกับวิธีการบำรุงรักษา เมื่อเครื่องเสียต้องนำไปให้ช่างซ่อม ช่างจึงมีโอกาสศึกษาวิธีการต่าง ๆ ทำให้ช่างเรียนรู้ส่วนประกอบของเครื่อง และสามารถผลิตเครื่องใหม่ได้ ถ้าหากช่างเกิดความชำนาญ รอบรู้แสดงว่ามีการถ่ายทอดเทคโนโลยีมากับผลิตภัณฑ์
ส่วนใหญ่รัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้ว จะเสนอเทคโนโลยีกับประเทศที่กำลังพัฒนาด้านสุขภาพ การเกษตร และกระบวนการการผลิตอาหาร แต่ไม่เสนอกระบวนการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่ทันสมัย
สัญญาหรือข้อตกลงที่เขียนเป็นชุดเพื่อใช้ควบคุมงาน เช่น ข้อตกลงทางวิศวกรรมโยธา ข้อตกลงการซื้อเครื่องจักร เครื่องกำเนิดไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและอื่น ๆ มักมีข้อบังคับให้วิศวกรเป็นที่ปรึกษาโครงการ แต่การถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ผู้รับถึงขึ้นเกิดความขำนาญและรอบรู้มีน้อยมาก
การถ่ายเทคโนโลยีกระทำโดยผ่านสัญญา โดยครอบคลุมถึงระบบเอกสาร การฝึกอบรม และความช่วยเหลือทางเทคนิค
การถ่ายทอดเทคโนโลยีมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ผู้ที่ต้องการเทคโนโลยี(ผู้รับ) ผู้มีเทคโนโลยี(ผู้ให้) และตัวเทคโนโลยี ผู้รับเทคโนโลยีต้องพิจารณาจุดอ่อนของตนและพร้อมจะรับเทคโนโลยีนั้นหรือไม่ ต้องวิเคราะห์ข้อได้เปรียบเสียเปรียบและวิเคราะห์เชิงเทคนิคด้วย
วิธีการค้นหาเทคโนโลยีสามารถทำได้หลายทาง เช่น การค้นหาอย่างไม่เป็นทางการ งานจัดแสดงสินค้า สื่อหรือสิ่งพิมพ์ ปรึกษา ตัวแทนระหว่างประเทศ ค้นหาจากการบริการข้อมูลของรัฐบาลและผู้แข่งขัน
ผู้รับเทคโนโลยีต้องประเมินด้วยการวิเคราะห์ตนเองและวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยใช้คำถามต่าง ๆ เช่น ประเทศต้องการเทคโนโลยีนั้นหรือไม่ ใช้ได้หรือไม่ สิ่งสุดท้ายของการประเมิน คือ การตัดสินใจจัดหาเทคโนโลยีในที่สุด
เมื่อผู้รับเทคโนโลยีตัดสินใจรับเทคโนโลยีจากผู้ขาย ก่อนตกลงทำสัญญามักมีการเจรจาต่อรองเงื่อนไข เพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
การเขียนสัญญาอย่างเป็นทางการเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการรับเทคโนโลยีจากผู้ให้โดยการทำสัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีสำหรับการค้า
การเลือกใช้เทคโนโลยี ในระดับประเทศหรือผู้ประกอบการ ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์ มีหลักเกณฑ์ที่แบบควรปฏิบัติดังนี้